เดินทางประหยัดพลังงาน
                    
 
วิธีการประหยัดพลังงานง่ายๆในการเดินทาง
  1. ใกล้ๆ..ไม่ไกลจนเกินไป..ควรเดินไป..ไม่ใช้รถ..หรือจะใช้รถจักรยานแทนก็ได้ เป็นการออกกำลังกายไปในตัว
  2. ควรวางแผนเส้นทางก่อนเดินทางเพื่อเลือกทางที่ใกล้ที่สุด หรือใช้เวลาน้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงาน หรือลดความสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิงต่อวันลงได้รวมทั้งลดเวลาในการเดินทาง
  3. หากที่พักของเราใกล้กับที่ทำงานในระยะทางที่สามารถใช้ รถโดยสารประจำทางได้สะดวกก็ควรหันมาใช้รถประจำทางให้มากขึ้น
  1. ถ้าต้องเดินทางจากที่พักถึงที่ทำงานเป็นระยะทางไกลๆทุกวัน
    ควรจะรู้เส้นทางลัดหรือเส้นทางที่มีสัญญาณไฟจราจรหรือมีทางแยกน้อยที่สุด
  2. หลีกเลี่ยงเวลาเดินทางไป-กลับระหว่างที่พักกับที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการจราจรติดขัด
  3. เมื่อต้องเดินทางระยะไกล เช่น ไปต่างจังหวัด หากไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนบุคคลแล้ว ควรหันมาใช้รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ
  4. หมั่นตรวจสอบสภาพรถ ตลอดเวลาและก่อนการเดินทางไกล
การตรวจสอบเครื่องยนต์หรือสภาพรถก่อนการเดินทาง

     ควรตรวจสอบเครื่องยนต์สม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะจะทำให้เรารู้สมรรถนะของเครื่องยนต์ และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลาและเพิ่มทความปลอดภัย ซึ่งระบบที่ควรตรวจสอบมีดังนี้

 1. ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง

    จากระบบนํ้ามันเชื้อเพลิง เราสามารถสังเกตและตรวจสอบสาเหตุของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติอย่างง่ายๆดังนี้
น้ำมันรั่วหรือไม่
ให้สังเกตจากบริเวณพื้นถนนใต้รถที่จอดอยู่ หากพบว่ามีรอยเปียกของน้ำมันหรือได้กลิ่นน้ำมันซึ่ง อาจจะรั่วจากข้อต่อในระบบท่อ ให้ดำเนินการซ่อมโดยเร็ว
ไส้กรองอากาศตันหรือไม่
ควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอหรือเปลี่ยนใหม่เมื่อหมดอายุการใช้งาน ไส้กรองอากาศที่สกปรกทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก

2.ตรวจความเร็วรอบเดินเบา

   ถ้าความเร็วรอบของเครื่องยนต์ในจังหวะเดินเบาสูงเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น
ควรปรับความเร็วรอบให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของผู้ผลิต แต่ถ้าไม่มีข้อมูลดังกล่าวควรปรับรอบที่
ประมาณ 800 รอบต่อนาที หรือในระดับที่เครื่องยนต์ทำงานเรียบที่สุด
สำหรับเครื่องยนต์ที่มีระบบการจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด หากมีปัญหาเกี่ยวกับความเร็วรอบ
ของเครื่องยนต์ขณะเดินเบา ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิตให้เป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้โดยตรง

3. ตรวจระดับน้ำมันในห้องลูกลอย

   ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ ทำหน้าที่ปรับส่วนผสมน้ำมันกับอากาศนั้น สาเหตุที่ทำให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นจากปกติอีกประการหนึ่ง คือการไหลล้นของน้ำมันจากคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งเกิดจากระดับน้ำมันในห้องลูกลอยสูงกว่าระดับปกติโดยสามารถสังเกตูได้ง่ายจากหน้าต่างกระจกของห้องลูกลอย ควรให้ช่างผู้ชำนาญแก้ไขโดยเร็ว นอกจากข้อสังเกตต่างๆในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้ดังกล่าวมาข้างต้น ปัญหาด้านอื่นที่เรายังสามารถ สังเกตได้ง่าย อีกอย่างหนึ่งคือระบบจุดระเบิดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีผลต่อการเผาไหม้ของส่วนผสมน้ำมันกับอากาศ ถ้าระบบจุดระเบิดส่วนผสมของเชื้อเพลิงและอากาศเร็วเกินไปจะทำให้เกิดอาการเครื่องยนต์น๊อค แต่ถ้าระบบ จุดระเบิดช้าเกินไป จะทำให้กำลังงานที่ได้ลดลง และมีผลทำให้กินน้ำมันมากขึ้นด้วย หากรถยนต์มีอาการดังกล่าว ควรรีบแก้ไขโดยเร็ว

การเตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง 

     การมีข้อมูลที่พร้อมสำหรับการเดินทางเป็นวิธีหนึ่งที่ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ได้เป็นอย่างมากและเป็นการเพิ่มความปลอดภัยด้วย

  1. เตรียมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อของจุดหมายปลายทาง หรือสถานีตำรวจในเส้นทางที่ผ่าน กรณีฉุกเฉินหรือหลงทาง
  2. เตรียมแผนที่เส้นทาง เพื่อป้องกันการหลงทางและการสิ้นเปลืองนั้ามัน
  3. ตรวจสอบเส้นทางและเลือกเส้นทางลัด หรือเส้นทางที่เหมาะสม แต่ถ้าหากเส้นทางลัดมีผิวถนนไม่เรียบ การขับรถบนถนนจะประหยัดน้ำมันกว่า
  4. ตรวจสอบระดับน้ำในแบตเตอรี่ ให้อยู่ในระดับที่กำหนด และมีน้ำกลั่นสำรองประจํารถ
  5. ตรวจสอบระดับนํ้ามันเครื่อง ให้อยุ่ในระดับที่กำหนดหากปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้ง หรือต่ำกว่าขีดกำหนด เครื่องยนต์จะเสียหายมาก ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขจะสูงมาก
  6. ตรวจสอบไฟฉายประจำรถ ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ ถ่ายแบตเตอรี่หมดอายุหรือไม่
  7. 7. ควรมีอุปกรณ์สำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินประจำรถ เช่น แผ่นสะท้อนแสงแจ้งเหตุฉุกเฉินต้องจอดข้างทาง ไฟฉายกระพริบ
  8. 8. อุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนยางรถยนต์ควรอยู่ท้ายรถเสมอ
  9. ตรวจสอบไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ที่ปัดน้ำฝน กระจกหน้า กระจกข้างว่ายังทำงานปกติหรือไม่
  10. ตรวจสอบหน้ายางรถยนต์ว่ามีเศษแก้วเศษหินเกาะอยู่หรือไม่และควรเขี่ยออก ถ้าเป็นตะปูฝังอยู่ต้องถอนและซ่อมรูที่รั่ว
  11. ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ อย่าให้ต่ำกว่าขีดต่ำสุดที่กำหนด หรือปล่อยให้แห้งเพราะจะเกิดอันตราย และอาจจะต้องเปลี่ยนหม้อน้ำตัวใหม่ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
  12. ผู้ขับควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก่อนขับรถทางไกล และไม่ดื่มเตรื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆก่อนเดินทาง
การขับรถอย่างถูกวิธี

     การขับรถอย่างถูกวิธีจะมีส่วนให้เราสามาถลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หากเราปฏิบัติตามข้อแนะนำ ต่อไปนี้

1. ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อนออกรถ
     การเร่งเครื่องให้มีความเร็วรอบสุงจะทัาใไอัตราการสิ้นเปลืองนั้ามันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูง อัตราความต้อวการน้ำมันเชื้อเพลิงจะสูงตามด้วย เมื่อออกรถเราไม่จําเป็น ต้องเร่งเครื่องยนต์ โดยทั่วไปความเร็วรอบที่เหมาะสมสำหรับการออกรถประมาณ 1,100-1,250รอบต่อนาที

 2. ไม่ควรติดเครื่องขณะจอดรถคอย
     กรณีที่ต้องจอดรถคอยเป็นเวลานาน ควรดับเครื่องยนต์เพราะจะทําให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเปล่าประโยชน์ การติดเครื่องจอดอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ 0.3 ลิตร 
3. ขับรถที่ความเร็วเหมาะสม
     การขับรถด้วยความเร็วสูงจะต้องใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงตาม ดังนั้นเราควรควบคุมความเร็วในอัตราที่เหมาะสม คือประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากขับขี่ความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้น้ำมันมากขึ้น ประมาณร้อยละ 17
4. การใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์
     ไม่ควรใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ 1 และเกียร์ 2) ที่ความเร็วรอบสุง หรือใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3, 4, 5 ) ทึ่ความเร็วรอบต่ำ จะมีผลให้กำลังเครื่องตก และจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ
5. การเปิดเครื่องปรับอากาศ
     ในการเปิดเครื่องปรับอากาศ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 25 ดังนั้นหากเราเปิดใช้ เครื่องปรับอากาศตามความจำเป็นและไม่ปรับให้เย็นมากจนเกินไป จะสามารถลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงได้เป็นอย่างมาก
6. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป
     กรณีที่เราบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 50 กิโลกรัม จะมีผลทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร สั้นลง 1 กิโลเมตร ดังนั้นจึงควรสำรวจดูในรถหากมีสิ่งของที่ไม่จำเป็นควรนำออก
7. เติมลมยางให้เหมาะสม
     ตรวจเช็คและเติมลมยางให้เหมาะสมกับขนาดของรถยนต์ หากลมยางแข็งเกินไป จะทำให้ยางแตกและขับขี่ไม่นุ่มนวล ในขณะเดียวกันถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเติมลมยางตาม เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดจากผู้ผลิต หากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดทุกๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2
8. ตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด
     การตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์ไม่ให้สึกหรอ และสามารถใช้งานต่อได้อย่างปลอดภัยและไม่เปลืองน้ำมัน
9. การตกแต่งรถ
     การตกแต่งรถบางอย่างเช่น การขยายหน้ายางล้อใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานเดิมจะเป็นการเพิ่มพื้นที่การรับ น้ำหนักของรถ เมื่อต้องเพิ่มอัตราเร่ง จะทำให้เครื่องยนต์ใช้ความเร็วรอบสูงกว่าปกติ เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
ใช้ยางรถยนต์ยังไงให้คุ้มค่าและถูกวิธี
  1. ตรวจดูการสึกหรอของหน้ายางว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีก็อาจเป็นปัญหาที่เกิดกับระบบส่งกําลัง ระบบเบรก ลูกปืน และศูนย์ล้อ ควรปรึกษาช่างเพื่อทําการซ่อมแซมแก้ไข
  2. เขี่ยก้อนกรวดเล็กๆหรือตะปูที่ติดค้างในร่องดอกให้หมด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะค่อยๆ เบียดตัวเองลึกลงไปทําให้ยางแตก หรือรั่วซึมได้ในที่สุด
  3. หากท่านพบความเสียหายของยาง เช่น มีรอยถูกบาด หรือตัดจนเห็นโครงยางข้างใน หรือยางถูกกระแทกมาโดยตรง ให้ปรึกษาช่างเพื่อถอดมาตรวจสอบทันที เพราะโครงสร้างภายในอาจชํารุดเสียหายไปแล้ว หากใช้งานต่อไปอาจจะเสียหายรุนแรงได้ ในกรณีที่ยางนั้นต้องซ่อม ขอให้รีบทําโดยทันที จะช่วยไม่ให้บาดแผลลุกลาม เพราะฝุ่นหรือนํ้าที่เข้าไปจะทําให้ยางเสียได้
  4. ตรวจสอบฝาวาล์วของยางแต่ละเส้นว่าปิดสนิทดีแล้ว และอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลมรั่วซึมออกมาได้
  5. เมื่อรถเสียต้องถูกลากจูง ให้เพิ่มลมที่ล้อหลัง 3-4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือเติมเท่ากับความดันที่ระบุไว้ในช่องบรรทุกเกินพิกัด
  6. นํ้ามันเชื้อเพลิง นํ้ามันชนิดอื่นๆรวมทั้งสี อาจเกิดปฏิกิริยากับเนื้อยางได้ โดยเฉพาะนํ้ามันจะทําให้ดอกยางบวม สึกเร็วผิดปกติและไม่เกาะถนน ให้ล้างออกด้วยนํ้าสบู่ ห้ามใช้พาราฟีนเช็ดออกโดยเด็ดขาด
  7. ความลึกของดอกยางต้องเหลือไม่น้อยกว่า 2มม. เพือ่ให้สมรรถนะของยางในหารยึดเกาะถนนยังคงเดิม
ควรเติมลมยางอะไหล่ให้สูงกว่าที่กําหนด 3-4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อนํามาใช้ปล่อยลมให้เหลือเท่าที่กําหนด
  1. ตรวจหรือเติมลมยางในขณะที่ยางเย็นอยู่เสมอ คือ ขับรถไม่เกิน 2-3 กม. หรือจอดรถไว้ไม่ตํ่ากว่า 1 ชม. หลังจากใช้งานแล้ว ถ้าจําเป็นต้องเติมลม เมื่อยางยังร้อนอยู่ ให้เพิ่มความดันลมจากที่กําหนดอีก 3-4 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
  2. การเข้าโค้งอย่างรุนแรง ออกรถแบบพุ่งกระโจน หรือวิ่งบนถนนไม่ดีเป็นเวลานานๆ จะทําให้ยางสึกเร็วกว่าปกติ การวิ่งบนถนนขรุขระเป้นหลุมเป็นบ่อ และสิ่งอื่นๆ บนถนน อาจทําให้ยางชํารุดได้ เมื่อท่านต้องใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นระยะ ทางไกลๆ ก็ขอให้ตรวจสอบสภาพยางอีกครั้งหนึ่ง
 home                 Tell a friend: